หลายคนเคยบอกว่าการเดินทางท่องเที่ยวทำให้เราได้ค้นพบตัวเอง ฉันไม่เข้าใจนักหรอกว่ามันหมายความว่ายังไง การอยู่ในสถาณที่ซึ่งเราไม่คุ้นเคยพบปะผู้คนไปจนถึงรูปแบบการใช้ชีวิตที่แตกต่างจะช่วยเติมเต็มช่องว่างภายในจิตใจของเราได้ตรงไหนฉันยังนึกไม่ออกจนกระทั่งครั้งหนึ่งที่ฉันมีโอกาสได้ไปญี่ปุ่น… มันเหมือนกับเราโตขึ้นมาพร้อมกับวัฒณธรรมของเค้าแต่เอาเข้าจริงแล้วฉันกลับรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองเคยจินตนาการไว้นั้นไม่ได้เพียงแค่สักเศษเสี้ยวเดียวของประสบการ์ณที่ฉันได้พบเห็น การเดินทางครั้งนั้นเป็นช่วงย่างเข้าสู่ฤดูใบไม่ผลิในช่วงเดือนมีนาคมตรงข้ามกับช่วงชีวิตที่ออกจะมีรสขมของฉันฉันลาออกจากงานมิหนำซ้ำยังเป็นช่วงที่อกหัก การเดินทางครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนการปลอบประโลมจิตใจที่เหนื่อยล้าให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
จำได้ว่าทริปนั้นสิ่งที่ฉันตั้งตารอคอยที่สุดคือการไปชมดอกซากุระที่สวนอุเอโนะที่ซึ่งต้นซากุระกว่า 1,100ต้นผลิบานเหมือนกับจะเป็นการบอกให้รู้ว่าฤดูหนาวได้สิ้นสุดลงแล้ว ภาพของผู้คนที่มาพักผ่อนสังสรรค์กันมีให้เห็นทั้งสองข้างทางทั้งหนุ่มสาวครอบครัวต่างพากันจับจองพื้นที่ ภายใต้โคมกระดาษที่ส่องสว่างให้เห็นต้นซากุระบานสะพรั่ง โดยมีทางเดินมุ่งสู่ตลาดของโบราณที่จำหน่ายสินค้าในบรรยากาศสมัยเอโดะ เด็กเล็กๆสวมชุดยูคาตะเดินแถวเข้ามาขณะที่ฉันใจลอยคิดไปว่าความหมายของดอกซากุระที่ว่าเปรียบเหมือนความกล้าหาญในการใช้ชีวิตนั้นดูจะเหมาะเจาะเหลือเกินกับการเป็นดอกไม้ประจำชาติของญี่ปุ่น ค่ำลงแล้วฉันบอกลาดอกไม้แสนสวยเหล่านั้นเพื่อมุ่งหน้าหาของกินที่ชิบุย่าโดยมาจบลงที่ร้านซูชิตามคำแนะนำของคนท้องถิ่นที่ความสดอร่อยนั้นได้ทำให้ฉันสวาปามของฝากซึ่งตั้งใจจะซื้อไปให้เพื่อนเสียหมดเกลี้ยง และจุดมุ่งหมายสำคัญในการมาที่นี่ของฉันอีกอย่างก็คือการได้มาเห็นภูเขาไฟฟูจิและได้อาบน้ำพุร้อนท่ามกลางแสงจันทร์ซึ่งฉันได้ที่พักอันเงียบสงบแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแบบญี่ปุ๊นญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นการดินเนอร์ในชุดยูคตะและการอาบน้ำพุร้อนแบบกลางแจ้งที่ทำให้แทบจะลืมเวลาไปเลยทีเดียว ระหว่างการเดินทางฉันได้เห็นบ้านเมืองที่สะอาดเรียบร้อยและน่าอยู่ ซึ่งสิ่งที่ฉันประทับใจมากที่สุดก็คือการที่คนที่นั่นดูไม่ต่างจากไกด์ใจดีอย่างคุณป้าคนหนึ่งที่ฉันพบที่สถาณีรถไฟชินคันเซ็น ทั้งที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยแต่กลับกุลีกุจอหาแผ่นพับเส้นทางการชมดอกซากุระให้ ไปจนถึงการได้เห็นภาพของผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ไม่ว่าพวกเขาจะไปไหว้ขอพรปีใหม่ที่วัดหรือแม้แต่เดินทอดน่องช็อปปิ้งยามเย็นสิ่งหนึ่งที่ฉันสังเกตุเห็นคือพวกเขาต่างมีจุดมุ่งหมายและความหวังชัดเจนบนสีหน้าและแววตาซึ่งฉันรู้สึกว่าตัวเองได้ซึมซับพลังเหล่านั้นมานิดหน่อย การจัดการกับความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นความเจริญด้านวัตถุและเทคโลยีได้หลอมรวมไปกับวัฒณธรรมและจิตวิญญาณที่ดูเรียบง่ายของคนญี่ปุ่นได้อย่างลงตัว ซึ่งฉันมองว่ามันมันเป็นเพราะคนที่นี่รู้จักตัวเองดีพอที่จะไม่ปล่อยให้อิทธิพลจากภายนอกมาครอบงำและเปลี่ยนแปลงตัวตนของพวกเขา แต่ทว่ากลับนำวัฒณธรรมจากภายนอกนั้นมาปรับใช้ในแบบฉบับของตัวเอง ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้กับฉันเป็นอย่างมาก
ยิ่งเราได้เดินทางและเห็นความแตกต่างมากเท่าไหร่เราก็ยิ่งเรียนรู้ว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไร และเกิดคำถามกับตัวเองว่าอยากจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไรซึ่งฉันดีใจจริงๆที่การเดินทางครั้งนี้ทำให้ฉันได้มีโอกาสทำความรู้จักตัวเองเพิ่มขึ้นไปพร้อมๆกับช่วยปลุกความกล้าหาญในการใช้ชีวิตให้กลับคืนมาอีกครั้ง