เมื่อถึงวันเสาร์และอาทิตย์ที่สามของเดือนตุลาคมในทุกๆปี จะเป็นช่วงแห่งความสนุกสนานรื่นเริงของเทศกาลคาวาโกเอะ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแถบภูมิภาค Kanto และมีประวัติอันยาวนานมากว่า 360 ปี
ภายในงานเต็มไปด้วยขบวนแห่ศาลเจ้าเคลื่อนที่ขนาดใหญ่ตกแต่งอย่างสวยงามเคล้าคลอไปกับเสียงเพลงญี่ปุ่นโบราณโอฮายาชิขณะแห่รอบเมืองเก่าแก่ที่รู้จักกันในชื่อ “Little Edo” ซึ่งยังคงมีบรรยากาศของวัฒนธรรมเก่าแก่หลงเหลืออยู่จนทุกวันนี้ ถ้าได้มาในงานเชื่อเถอะว่าคุณคงต้องตะลึงกับความอลังการของเหล่าขบวนแห่นี้อย่างแน่นอน แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าตอนนี้แหละที่คนจะแห่ไปกันทะลัก
โดยเทศกาลนี้ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1648 หลังจากที่ท่านขุนนาง Matsudaira Nobutsunaได้มอบศาลเจ้าเคลื่อนที่ (หรือที่เรียกว่า Mikoshi) ให้แก่ศาลเจ้า Hikawa ซึ่งเป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่สำคัญของเมืองคาวาโกเอะ หลายปีต่อมาเมืองใกล้เคียงต่างๆ เริ่มมีการประดิษฐ์ศาลเจ้าเคลื่อนที่มาเข้าร่วมสร้างสีสันในขบวนแห่ด้วย จนทำให้เทศกาลนี้มีความยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงโด่งดังจวบจนทุกวันนี้ โดยในปีนี้มีขบวนศาลเจ้าถึง 29 ขบวนร่วมแห่ไปตามท้องถนน
นอกจากนี้บริเวณรอบๆวัด Renkeiji ยังมีกิจกรรมน่าสนใจต่างๆ ให้ร่วมสนุกตลอดจนแผงขายอาหารนานาชนิด อย่างเช่น ทาโกะยากิ (แป้งกลมๆใส้ปลาหมึก) หรือจะมานั่งดื่มที่บาร์ญี่ปุ่นที่เรียกว่า izakayas ก็ดี ทั้งจะดื่มเหล้าสาเกในวัดก็ยังได้อีกต่างหาก หากจะไปเล่นเกมตักปลาทองก็สนุกใช่ย่อย ปีนี้ดูพิเศษหน่อยเพราะมีบ้านผีสิงแบบญี่ปุ่นให้ได้ขนหัวลุกกันเล่นๆ ซึ่งถือว่าหาได้ยากในญี่ปุ่น
บริเวณสี่แยก Naka-cho ของถนนสายหลักเป็นสถานที่ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้โดยเฉพาะ เนื่องจากยังมีบ้านเรือนที่เป็นกำแพงดินในยุค Edo ที่เรียกว่า Kurazukuri หลงเหลืออยู่ และที่ยิ่งไปกว่านั้นบริเวณนี้ไม่มีเสาไฟฟ้าโผล่มาให้เสียอรรถรส คุณจึงจะได้อิ่มเอมกับบรรยากาศบ้านเรือนโบราณ พร้อมชมขบวนแห่ศาลเจ้าอันงดงามคละเคล้าเสียงดนตรีเก่าแก่ได้อย่างเต็มอิ่มราวกับหลุดเข้าไปอยู่ในยุคศตวรรษที่ 17 หรือ 18 ของยุค Edo เลยทีเดียว
ถ้าจะให้ดีแนะนำให้ไปช่วงกลางวันจะดีกว่าเพราะจะได้เห็นรายละเอียดปลีกย่อยของศาลเจ้าอันงดงามนี้ได้อย่างชัดเจน ซึ่งรูปแบบของศาลเจ้าได้มีการพัฒนาขึ้นในยุค Edo เป็นแบบ 2 ชั้น โดยมีหุ่นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์อยู่ชั้นบน ขณะที่ด้านข้างจะประดับไปด้วยรูปแกะสลักอย่างประณีตและม่านเย็บปักลวดลายวิจิตรอันงดงาม
แต่ไฮไลท์จริงๆของงานเริ่มตอนกลางคืนหลังจากโคมไฟในศาลเจ้าทั้งหลายจุดขึ้น พร้อมเหล่านักดนตรีและนักเต้นออกมาร่ายรำบนศาลนั้น ผู้คนก็จะเริ่มทะยอยออกมารื่นเริงกันตามถนนอีกครั้ง และเมื่อแต่ละขบวนเคลื่อนมาเจอกันที เสียงดนตรีจะยิ่งดังกระหึ่มขึ้นประหนึ่งกำลังมาประชันกันที่เรียกว่า “Hikkawase” ซึ่งเหมือนเป็นการดวลกันด้วยเสียงเพลงโดยมีผู้ชมคอยส่งเสียงเชียร์โห่ร้องกันอย่างสนุกสนานตลอดการแสดง ฉันว่างานนี้ทั้งแปลกทั้งมีเส่นห์และสนุกจนยากที่จะลืมเลือน
แม้คนจะมากันแน่นขนัดไปสักหน่อย แต่รับรองได้ว่าคุณจะไม่รู้สึกเสียดายเวลาที่ไปสักวินาทีเดียว