ชิราคาวาโก

หยุดเวลา ณ เมืองในฝันหมู่บ้านมรดกโลก

ใครหลายคนอาจจะคุ้นกับภาพหมู่บ้านชิราคาวาโกในหน้าหนาวที่ปกคลุมด้วยหิมะสีขาว ยามค่ำคืนมีการเปิดแสงไฟสะท้อนหิมะเป็นประกายสวยงาม หากแต่เสน่ห์ของการเที่ยวญี่ปุ่นนั้นเปลี่ยนแปลงไปทุกฤดูกาล ความงามที่แตกต่างสะท้อนถึงวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกและความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ประสบการณ์อันแสนสดชื่นในเดือนมิถุนายน กับอุณหภูมิกำลังสบาย 17-25 องศา ภายใต้ท้องฟ้าสีครามประกอบกับสีเขียวชอุ่มของต้นไม้ที่ปกคลุมรอบหมู่บ้าน ทำให้ชิราคาวาโกงดงามน่าสัมผัสไม่แพ้ฤดูอื่นๆ

ชิราคาวาโกนั้นเป็นหมู่บ้านมรดกโลก ที่อนุรักษ์ภูมิปัญญาญี่ปุ่นแบบดั่งเดิมด้วยการสร้างบ้านจากวัสดุธรรมชาติ โดยใช้ฟางจำนวนมากมุงหลังคา เป็นทรงลาดชันคล้ายการพนมมือจึงถูกเรียกว่าแบบกัสโช (Gassho) เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนฟางบนหลังคา บรรดาเพื่อนบ้านก็จะมาช่วยเหลือลงแรงกัน การพึ่งพาอาศัยกันสะท้อนถึงความสุขในวิถีชีวิตชาวนาที่แสนเรียบง่าย บางหลังได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงวิถีชีวิตดั่งเดิมของชาวนาญี่ปุ่น และบางหลังก็ได้เปิดเป็นที่พักแบบโฮมสเตย์ให้นักท่องเที่ยวได้ดื่มด่ำสัมผัสบรรยากาศอันสงบเงียบ เราสามารถเที่ยวแบบครึ่งวันได้ด้วยรถบัสโนฮิ  หากต้องการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์วัฒนธรรมและธรรมชาติอย่างประหยัด ก็สามารถใช้วิธีเดินทางด้วยรถบัสจากคานาซาวะ ไปยังชิราคาวาโก และนอนพักค้างคืนที่ทาคายามะได้ เมื่อมาถึงรถบัสจะจอดในบริเวณศูนย์ข้อมูลรวม หอเดะไอ สมาคมท่องเที่ยวชิราคาวาโก ซึ่งเราสามารถสอบถาม จองตั๋วรถ จองที่พักในหมู่บ้าน พร้อมเช่าลอคเกอร์ฝากของได้ที่จุดนี้ นอกจากการบริการที่ดีของเจ้าหน้าที่แล้วก็ยังมีน้ำดื่มเย็นๆ และห้องน้ำไว้บริการอีกด้วย

ทางเข้าสู่หมู่บ้านชิราคาวาโกนั้นเป็นสะพานทอดยาวข้ามแม่น้ำโช หมู่บ้านชาวนาแห่งนี้ต้อนรับเราด้วยบ้านทรงกัสโชเรียงตัวกันอย่างน่ามองท่ามกลางหุบเขาเขียวขจี ตลอดแนวถนนใหญ่จะมีร้านรวงต่างๆ ที่เปิดให้แวะซื้อของที่ระลึก โดยมีร้านอาหารปะปนอยู่กับบ้านพักอาศัยอย่างกลมกลืน มีหลายร้านที่ขายซอฟครีมนมสด รสชาติหอมหวานเย็นชื่นใจชวนให้ลิ้มลอง หากเดินตามถนนใหญ่ไปตามทางแยกที่มีสัญญาณไฟจราจร จะเจอจุดเดินขึ้นเขาชมวิวมุมสูงของหมู่บ้าน เดินต่อเพียง 10-15 นาที จะถึงจุดชมวิวบนเนินเขาที่เห็นหมู่บ้านหลังโตเมื่อครู่หดเล็กรายเรียงกันไปเหมือนหมู่บ้านในนิทาน เพียงภาพที่เห็นกับสายลมเย็นๆ ที่พัดผ่านหน้า ก็ทำให้เรารู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เดินต่อไปอีกนิดจะเห็นจุดชมวิวมุม 180 องศา จุดนี้จะเป็นจุดนั่งพักผ่อนชมวิว และมีบริการถ่ายรูปหมู่ให้ด้วย เมื่อพักจนอิ่มใจแล้วก็เดินลงเนินเขาไปจะพบกับบ้านวาดะที่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ สามารถเข้าเยี่ยมชมตัวบ้านได้ (300 เยน) นอกจากนี้ก็ยังมีบ้านคันดะ บ้านนางาเซะ และวัดเมียวเซนจิ ที่เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่น่าเที่ยวชมและศึกษาด้วย

เมื่อเราเดินไปตามถนนเล็กๆ ของหมู่บ้าน จะเห็นได้ถึงรายละเอียดเล็กน้อยที่ชาวบ้านบรรจงใส่ใจจัดแต่งบ้านตัวเองให้สวยงาม มีเอกลักษณ์น่ามอง บ้านหลังคามุงฟางหลังโตปะปนอยู่กับบ้านทรงปัจจุบันอย่างกลมกลืน แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมดั่งเดิมที่ญี่ปุ่นพยายามรักษาไว้ท่ามกลางกระแสแห่งโลกยุคดิจิตอลในปัจจุบัน ขณะที่โลกหมุนวนเปลี่ยนหลายสิ่งไปตามกาลเวลา ภายในหมู่บ้านชาวนาแห่งนี้ก็ยังคงความเรียบง่ายที่เกิดจากความสุขในความเนิบช้าของการใช้ชีวิต ซึ่งช่วยให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ เคลื่อนไหวช้าลง มองดูโลกและมองตัวเองอย่างละเอียดอ่อนมากขึ้น เวลาของที่นี่ไม่ได้เดินช้ากว่าที่อื่น แต่ภาพความทรงจำที่ถูกตราตรึงในหัวใจของผู้มาเยือนนั้นกลับถูกหยุดเอาไว้ในห้วงเวลาแห่งความประทับใจ ขอบคุณองค์การยูเนสโก ผู้คนในหมู่บ้าน และนักท่องเที่ยวที่ทำให้ที่แห่งนี้กลายเป็นความทรงจำที่หยุดนิ่งเนิ่นนานคงความงดงามในทุกฤดู

0
3
บทความนี้เป็นประโยชน์หรือไม่
ช่วยเราพัฒนาเว็ปไซต์ JapanTravel.com
ให้คำติชมหรือข้อเสนอแนะ

เข้าร่วมการสนทนา

Patcharii A. หนึ่งปีมาแล้ว
เป็นหนึ่งในลิสต์ที่อยากไปเหมือนกันค่า ยิ่งอ่านก็ยิ่งอยากไป ให้ "รู้สึกอิ่มในหัวใจ" อย่างที่ว่าจริงเลย
Tossaporn Tanadeerojkul ผู้เขียน หนึ่งปีมาแล้ว
ที่นี่ ธรรมชาติ วัฒนธรรม และมนุษย์อยุ่ร่วมกันอย่างกลมกลืนจริงๆ ค่ะ ทุกอย่างยังรักษาไว้ได้อย่างดี เพราะทุกคนรักและช่วยกันดูแลส่วนรวม เรารู้จักที่นี่ครั้งแรกตอนรายการท่องเที่ยวไปถ่ายสถาบันสิ่งแวดล้อมของโตโยต้า แล้วอยากไปมาตลอด วันนึงพอได้ไปญี่ปุ่นเลยลงเป้าหมายว่าอยากไปเห็นด้วยตาตัวเองซักครั้งในชีวิต พอได้สัมผัสจริงๆ รู้สึกอิ่มในหัวใจไปเลยล่ะค่ะ ขอให้คุณ Suparkorn Netvijit ได้ไปสมใจในสักวันเช่นกันนะคะ^^
Suparkorn Netvijit หนึ่งปีมาแล้ว
เป็นอีกมุมนึงที่ไม่เคยเห็น อยากลองไปสักครั้งเหมือนกันค่ะ :))

Thank you for your support!

Your feedback has been sent.